น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินบาทวันนี้ 8 มี.ค. 66 อ่อนค่ากลับมา และผ่านแนว 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง โดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 35.09 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.30 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.56 บาทต่อดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับสกุลเงินเอเชีย ท่ามกลางแรงหนุนของเงินดอลลาร์ จากสุนทรพจน์ของประธานเฟด ซึ่งสะท้อนว่าเฟดมีโอกาสที่จะกลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งอีก 0.50% ในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ และมีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยที่สะท้อนจาก dot plot ใหม่ของเฟดจะสูงขึ้นกว่าที่เคยให้ไว้เดิม
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้คาดไว้ที่ 34.90-35.20 บาทต่อดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามน่าจะอยู่ที่สุนทรพจน์ของประธานเฟดต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ทิศทางฟันด์โฟลว์ สกุลเงินหยวนและเอเชีย ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือน ก.พ. จาก ADP และตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือน ม.ค.คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐ ต่างกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดมากขึ้น สะท้อนจากการปรับเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ในการประชุมเดือนมีนาคมนี้สู่ระดับเกือบ 70% (จากเพียง 30% ในวันก่อนหน้า) และผู้เล่นในตลาดก็มองว่าเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.75% ภายในการประชุมเดือนมิถุนายน หลัง ประธานเฟด Powell ได้เน้นย้ำว่า ภารกิจคุมอัตราเงินเฟ้อของเฟดยังไม่เสร็จสิ้น ซึ่งเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจนแตะระดับสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้และเฟดอาจจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย หากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งความกังวลว่าเฟดจะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ได้กดดันดัชนี S&P500 ดิ่งลงกว่า -1.53%
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลง -0.77% กดดันโดยความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของบรรดาธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะเฟดและธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้สะท้อนผ่านแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ ASML -2.7%, Adyen -1.8%
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ ความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ในฝั่งสหรัฐต่างปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะบอนด์ยีลด์ระยะสั้น ถึงบอนด์ยีลด์ระยะกลาง ส่วนบอนด์ยีลด์ระยะยาวอย่าง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะที่ปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านสำคัญระดับ 4.00% ก่อนที่จะย่อลงเล็กน้อยสู่ระดับ 3.98% เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนอาจพอใจกับระดับบอนด์ยีลด์ดังกล่าวและอาจต้องการถือบอนด์ในช่วงตลาดผันผวน ทั้งนี้ เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาว อย่าง บอนด์ยีลด์ 10 ปี ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้บ้าง ซึ่งผู้เล่นในตลาดควรรอทยอยเข้าซื้อ ในช่วงที่บอนด์ยีลด์มีการปรับตัวขึ้น เช่น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ที่ระดับสูงกว่า 4.00% (อาจรอดูการทดสอบจุดสูงสุดในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมาแถว 4.20%)
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดอาจใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ตามภาพเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงสดใสอยู่ ซึ่งล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 105.6 จุด ส่วนในฝั่งราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ปรับตัวลงแรงและแกว่งตัวใกล้โซนแนวรับสำคัญแถว 1,815 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า การปรับตัวใกล้โซนแนวรับดังกล่าวอาจทำให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้ามาซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้บ้าง โดยโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็อาจมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ผ่านรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐ อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนที่สำรวจโดย ADP รวมถึงข้อมูลสำคัญ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) ที่ช่วยสะท้อนถึงความต้องการแรงงานในสหรัฐได้คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาคองเกรส รวมถึงถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก ทั้งเฟดและ ECB ในระยะถัดไป
ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาท มองว่า การแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ รวมถึงการย่อตัวลงของราคาทองคำใกล้โซนแนวรับ คือ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็วทะลุ โซนแนวต้านระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ ในส่วนของแนวโน้มเงินบาทในวันนี้ ยังคงมองว่า เงินบาทยังมีโอกาสผันผวนในฝั่งอ่อนค่าต่อได้บ้าง โดยเฉพาะหากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Opening) หรือยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP (ซึ่งอาจสะท้อนถึงแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม หรือ Nonfarm Payrolls ในวันศุกร์นี้ได้) ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งมั่นใจว่า เฟดอาจจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ในการประชุมเดือนมีนาคม (เราคงมองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยเพียง +0.25% ในการประชุมเดือนมีนาคม แต่คาดการณ์ดอกเบี้ยหรือ Dot Plot จะสูงขึ้นชัดเจน)
อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทอาจไม่รุนแรงมาก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USDTHB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ได้บ้าง ทว่า ต้องจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติ ว่าจะกลับมาขายสินทรัพย์ไทยมากขึ้น หรือไม่ หลังล่าสุด แรงขายบอนด์และหุ้นไทยเริ่มชะลอลง นอกจากนี้ หากถ้อยแถลงของประธาน ECB ได้เน้นย้ำว่า ECB ก็จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อเช่นเดียวกันกับเฟด ก็อาจช่วยหนุนให้เงินยูโร (EUR) มีโอกาสรีบาวด์ แข็งค่าขึ้นมาได้บ้าง ซึ่งจะช่วยชะลอโมเมนตัมการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ในช่วงระยะสั้น ก่อนที่ผู้เล่นในตลาดจะรับรู้ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐ (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้
ในช่วงนี้ จะเห็นได้ว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง (ค่าเงินบาทผันผวนในระดับ 9%-10% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมาที่ระดับ 5% เป็นอย่างมาก) ทำให้มองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน.